24/07/2024
Craft Beer Discovery #142 : 9 ขั้นตอนในการผลิตเบียร์
เบียร์🍺ที่เราพบได้ในท้องตลาดรวมถึงเบียร์ทางเลือกอย่างคราฟท์เบียร์นั้น แม้จะมีความแตกต่างในด้านรสชาติกันบ้าง แต่ขั้นตอนและวิธีการผลิตหลายอย่างจะคล้ายๆกัน รวมถึงวัตถุดิบหลัก ที่ส่วนใหญ่จะมาจาก น้ำ มอลต์ ฮอปและยีสต์เหมือนกัน
เบียร์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมักจะเป็นเบียร์ในแบบ International Pale Lager🍺 แต่ถ้าเป็นคราฟท์เบียร์จะมีความหลากหมายในสไตล์เบียร์ที่มากกว่า วันนี้อยากจะมาเล่าให้ฟังครับว่า กว่าจะเป็นเบียร์ที่เราดื่มกันทุกวันนี้ต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง ขอแบ่งเป็นขั้นตอนหลักๆ 9 ขั้นละกันครับ เริ่มกันที่
1.การเตรียมน้ำเพื่อการผลิต (Brewing Water)💧: เพราะเบียร์ประกอบด้วยน้ำมากกว่า 95% ในขั้นตอนการผลิตเบียร์ มีการใช้น้ำในหลายขั้นตอน น้ำที่จะส่งผลต่อรสชาติหลักๆคือในขั้นตอนการ mash และขั้นตอนการ sparge (ยังไม่รวมที่ใช้ในการล้างทำความสะอาด) ในเบียร์แต่ละสไตล์ต้องการ profile แร่ธาตุในน้ำที่แตกต่างกัน รวมถึงในแต่ละขั้นตอนการผลิตก็ต้องการแร่ธาตุในน้ำที่ต่างกัน เราจึงควรเตรียมน้ำที่ใช้ในแต่ละขั้นให้ได้แร่ธาตุในน้ำที่ถูกต้องต่อสไตล์เบียร์ และเพียงพอสำหรับปริมาณในการผลิตโดยรวม
2.การบดมอลต์หรือธัญญพืชต่างๆ (Milling): การบดมอลต์ขั้นตอนที่ดูไม่มีอะไร แต่จริงๆมีรายละเอียดซ่อนอยู่ เราต้องบดให้ได้ในขนาดที่พอเหมาะ ในการ mash เราต้องการแค่ให้เมล็ดแตกออกจากกันในแบบที่ไม่ถูกบดจนละเอียด เพื่อให้เนื้อที่ด้านในมีพื้นที่สัมผัสกับน้ำในขั้นตอนการ mash ที่มากขึ้น และควรเหลือเปลือกมอลต์ในสภาพที่เป็นชิ้นแบบไม่ละเอียดอยู่ เพราะเปลือกมอลต์จะทำหน้าที่เป็น grain bed ที่ช่วยเป็นตัวกรองในขั้นตอน wort separation อีกที
3.การ Mash: คือการนำมอลต์ที่บดแล้วเข้าไปแช่กับน้ำที่เราเตรียมไว้ในอุณหภูมิที่เรากำหนด ขั้นตอนนี้เป็นการใช้อุณหภูมิเพื่อทำให้ enzyme ที่อยู่ในมอลต์ทำงานและจะค่อยๆเปลี่ยนแป้งในมอลต์ให้เป็นน้ำตาล (มอลต์จำเป็นต่อเบียร์เพราะธัญญพืชที่ผ่านการ malting จะมี enzyme ที่ช่วยในการเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล) การ mash ที่ดีควรจะมีการกวนไปด้วยเพื่อให้มอลต์ที่บดแล้วได้ถูกเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ทั้งหมด ปกติขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
4.Wort Separation และการ Sparge: Wort Separation คือการแยกน้ำออกจากมอลต์ในขั้นตอนการ mash น้ำที่ได้ออกมาเราจะเรียกว่า wort แต่เนื่องการการแยกน้ำออกมาอาจเหลือน้ำตาลตกค้างในมอลต์ เราจึงต้องทำคู่กับการ sparge ที่คือการเติมน้ำที่มีความร้อนประมาณ 68-72 องศาเซลเซียส (ค่อยๆเติมอย่างนุ่มนวลไม่ให้เกิดแรงกระแทกจนถึง grain bed ด้านล่าง) เข้าไปในถัง mash เพือช่วยล้างน้ำตาลที่หลงเหลืออยู่ในมอลต์จากการ mash ออกมาให้หมด โดยที่ต้องมีการควบคุมความเร็วในการระบาย wort ออกจากถัง mash ที่ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลามาก เพราะเราต้องพยายามล้างน้ำตาลให้ออกมามากที่สุด
5.การต้ม(Boil): การต้มสำคัญมากในการผลิตเบียร์ การต้มเราทำเพื่อเหตุผล 2 อย่าง เหตุผลที่ 1 คือการต้มเพื่อฆ่าเชี้อ รวมถึงไล่กลิ่นบางอย่างออกไป เราควรต้ม wort อย่างต่ำ 1 ชั่วโมงแบบเปิดฝาเพื่อไล่ DMS (Dimethyl Sulfide) ออกไปและเพื่อเป็นการฆ่าเชื้ออื่นๆที่ติดมา เหตุผลที่ 2 คือการต้มฮอป เมื่อฮอปถูกความร้อนจะเปลี่ยนเป็นความขมและรสชาติ (Isomerization) ความขมในเบียร์มาจากสารประกอบ Alpha Acids ในฮอป ได้ถูกความร้อนจนเปลี่ยนเป็น Iso-Alpha Acids ที่ให้ความขม
6.การทำให้เย็นเพื่อเตรียมหมัก(Chilling): หลังต้มจนครบเวลาที่ต้องการ สิ่งต่อไปคือการรีบลดอุณหภูมิลงให้เย็นเร็วที่สุดเพื่อเตรียมเข้าสู่การหมัก เพราะยีสต์ไม่สามารถอยู่ในความร้อนเกิน 60 องศาเซสเซียสได้ อุณหภูมิที่เหมาะสมในการหมักขึ้นอยู่กับยีสต์ที่ใช้ แต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงประมาณ 20-21 องศาเซลเซียสหรือต่ำลงไป เวลาในการลดอุณหภูมิ ถ้าช้าเกินไปอาจส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนของแบคทีเรียในอากาศได้ การลดความเย็นได้เร็วเป็นการช่วยให้โปรตีนจับตัวเป็นก้อนได้ดีขึ้น และช่วยให้เบียร์มีความใสที่มากขึ้น จากนั้นจะย้ายเฉพาะ wort เข้าสู่ถังหมัก
7.ขั้นตอนการหมัก(Fermentation): คือขั้นตอนที่ยีสต์กินน้ำตาลใน wort และคายออกมาเป็นแอลกอฮอล์และคาร์บอนไดออกไซด์ ในขั้นนี้ยีสต์ต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการทำงาน ต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมในการแบ่งตัว ขั้นตอนการหมักบางทีจะแบ่งเป็นหลาย stage ขึ้นอยู่กับสไตล์หรือเทคนิคในการผลิตเบียร์ ถ้าเป็นเบียร์ที่มีการ dry hop เราก็จะทำลงไปในช่วงนี้ โดยเราสามารถเลือกว่าจะใส่ฮอปลงไปในช่วงที่ยีสต์ยังทำการหมักอยู่ จะใส่ฮอปในช่วงหลังการหมักจบ หรือจะใส่ทั้งสองช่วงก็ได้ที่เราจะเรียกว่า DDH (Double Dry Hop) เมื่อการหมักเสร็จสิ้น จะมีการลดอุณหภูมิเพื่อให้ยีสต์ตกตะกอน หรือใส่สารเพี่อหยุดการทำงานของยีสต์ จากนั้นก็ถ่ายยีสต์ออก ก่อนจะส่งไปขั้นตอนต่อไป
8.การทำให้เบียร์มีความซ่า (Forced Carbonation): ขั้นนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการทำในแต่ละโรง แต่โรงเบียร์ส่วนใหญ่จะทำการย้ายเบียร์ทีแยกยีสต์ออกแล้วไปสู่ Brite Beer Tank เพื่อใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อทำให้เบียร์มีความซ่า ปกติขั้นตอนนี้จะใช้เวลาไม่นานจากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นต่อไป คือการบรรจุ
9.การบรรจุ: หลังจากเบียร์มีความซ่าแล้วก็จะทำการบรรจุ จะบรรจุใส่ถัง Keg แบบเหล็กหรือแบบพลาสติกใช้แล้วทิ้ง บรรจุใส่ขวดหรือกระป๋องก็แล้วแต่ เครี่องบรรจุที่ได้คุณภาพจะส่งผลต่อคุณภาพของเบียร์ในบรรจุภัณฑ์ เรื่องการบรรจุคืงปัญหาใหญ่ของทั้งโรงเบียร์ขนาดเล็กรวมไปถึงกลุ่ม home brew เพราะการบรรจุที่ไม่ดี ส่งผลต่อคุณภาพเบียร์อย่างมาก
เราจะเห็นว่า 9 ขั้นตอนนี้ แต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลา พลังงานและความใส่ใจของผู้ผลิตเบียร์อย่างมาก กว่าเบียร์จะมาถึงมือเราอย่างในทุกวันนี้ทั้ง Brewmaster และ Brewer จากอดีตจนถึงปัจจุบันได้ช่วยส่งต่อวัฒนธรรมด้านเบียร์จากรุ่นสู่รุ่น ด้วยศิลปะและวิทยาศาสตร์ ขอให้ทุกท่านมีความสุขและสดชื่นจากเบียร์ที่ Brewmaster และ Brewer ทุกคนตั้งใจทำครับ
สุดท้ายขอฝากแบบทุกครั้ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรดื่มในปริมาณที่ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย ดื่มแล้วไม่ควรขับยานพาหนะ ช่วยกันดื่มอย่างรับผิดชอบต่อตัวเองและรับผิดชอบต่อสังคม พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
Cheers🍺
SPACEMAN🚀
Drink Responsibly. SPACECRAFT #เพื่อความมั่นคงทางการดื่ม