01/10/2022
ความงดงามของ #ผ้าไหมบุรีรัมย์
“...เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม เลิศล้ำเมืองกีฬา...."
#ประวัติผ้าไหม.....ไทย ผ้าไหมบุรีรัมย์ ของดี #จังหวัดบุรีรัมย์
• นาโพธิ์ • เจริญสุข • กระสัง • ห้วยราช •
ผ้าไหมมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและประเทศอินเดีย การทอผ้าไหมมีขึ้นราว 2,640 ปี ก่อนคริสตกาล พ่อค้าชาวจีนได้เผยแพร่ผ้าไหมสู่พื้นที่อื่นในแถบเอเชีย สำหรับประเทศไทยนักโบราณคดีพบหลักฐานที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงซึ่งบ่งชี้ว่ามีการใช้ผ้าไหมเมื่อ 3,000 ปีก่อนการทอผ้าไหมในประเทศไทยในอดีตมีการทำกันในครัวเรือนเพื่อใช้เอง หรือทำขึ้นเพื่อใช้ในงานพิธี เช่น งานบุญ งานแต่งงาน ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ส่งเสริมให้ใช้ผ้าไหม ส่วนการปลูกหม่อนเพื่อเลี้ยงไหมได้รับการสนับสนุนจากประเทศญี่ปุ่น แต่การดำเนินงานของโครงการก็ทำได้เพียงระยะหนึ่งมีอันต้องหยุดไป เนื่องจากเกษตรกรไทยยังคงทำในลักษณะแบบเดิมเพราะความเคยชิน ไม่ตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่แบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากความช่วยเหลือของญี่ปุ่น
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของผ้าไหมไทยขึ้น โดย เจมส์ แฮร์ริสัน วิสสัน ทอมป์สัน ชาวสหรัฐอเมริกาหรือที่คนไทยรู้จักในนามว่า จิม ทอมป์สัน ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความสนใจผลงานด้านศิลปะ ในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย รวมทั้งลาว และเขมร จิม ทอมป์สัน ได้ซื้อผ้าไหมไทยลวดลายต่างๆ เก็บสะสมไว้ และทำการศึกษาลวดลายผ้าไหมในหมู่บ้านที่เป็นแหล่งการผลิตผ้าไหม พร้อมกับเสาะแสวงหาช่างทอผ้าไหมฝีมือดี ในที่สุดได้พบช่างมีฝีมือถูกใจที่กรุงเทพมหานคร บริเวณชุมชนบ้านครัว (หลังโรงแรมเอเชีย เขตราชเทวีในปัจจุบัน)
ชุมชนแห่งนี้เดิมเป็นชาวมุสลิมเชื้อสายเขมร อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ตั้งแต่ตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีความชำนาญในการทอผ้าไหม ซึ่ง จิม ทอมป์สัน ได้เข้ามาสนับสนุนให้ชาวบ้านในชุมชนทอผ้าไหม สามารถสร้างรายให้ชาวบ้านมากขึ้น หลังจากนั้นได้มีการปรับปรุงผ้าไหมไทยโดยใช้หลักการตลาด การผลิต เพื่อขยายตลาด และทำการบุกเบิกผ้าไหมของไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และแพร่เข้าสู่วงการภาพยนตร์ของชาติตะวันตก และ ละครบรอดเวย์
ในปี พ.ศ. 2502 นักออกแบบชาวฝรั่งเศสได้ใช้ผ้าไหมไทยทำการออกแบบและตัดเย็บฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ครั้งเสด็จเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ถือได้ว่าเป็นการเปิดโอกาสผ้าไหมของไทยสู่ตลาดต่างประเทศ
ในอดีตการทอผ้าไหมของจังหวัดบุรีรัมย์ยังได้รับการส่งเสริมจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯส่งผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุน มาให้คำแนะนำการทอผ้าไหม ประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.2449 เมื่อครั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเสด็จราชการมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลร้อยเอ็ด และตอนกลับได้ผ่านมาถึงเมือง พุทไธสง เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2450 ได้พบนายโยโกตา และนายอิสิตา ชาวญี่ปุนซึ่งเดินทางมาตั้งโรงเลี้ยงไหมที่บุรีรัมย์ ได้เลือกทำเลที่เลี้ยง ที่เมืองพุทไธสง และหาที่พักได้ในบริเวณห้องสมุดประชาชนเดิม(ปัจจุบันได้ถูกรื้อถอนและสร้างเป็นโรงพยาบาลไปแล้ว)จุดที่ตั้งโรง เลี้ยงไหมก็คือบริเวณสวนหม่อนพุทไธสงในปัจจุบัน จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงในการทอผ้า ดังปรากฏ ในหลักฐานจาก รายงานการตรวจราชการ ของพระพรหมภิบาล(ในสมัยรัชกาลที่ 5)ซึ่งไปตรวจราชการที่มณฑลนครราชสีมา(เมืองบุรีรัมย์ขึ้นกับมณฑลนครราชสีมาในสมัยนั้น)ได้กล่าวถึงสภาพการทำมาหากินของชาวบุรีรัมย์ และการทอผ้าพื้นเมืองไว้ดังนี้"บ้านทะเมนชัย....แขวงเมืองบุรีรัมย์.....เรือนราษฏรมีอยู่ประมาณ 120 หลังคาเศษ ราษฏร 700 คนเศษ มีวัดสองวัด พระสงฆ์จำพรรษาอยู่วัดละ 9-10รูป ราษฏรเป็นลาว ประกอบอาชีพเพาะปลูก ทอหูกปั่นฝ้าย ทำไหม มะพร้าวเป็นพื้น... บ้านแขวงเมืองบุรีรัมย์..มีหลังคาเรือนอยู่ประมาณ 80 หลังเศษ ราษฏร 500 คนเศษเป็นเขมร ประกอบการเพาะปลูก ทอหูกปั่นฝ้าย ทำไหม มะพร้าวเป็นพื้น...บ้านทั้งหก(อยู่แขวงเมืองนางรอง)รวมหลังคาเรือนมีอยู่ประมาณ 230 หลังเศษราษฏร 800 คน พื้นดินเป็นดินปนทราย ต้นไม้มีมะพร้าว ขนุน ส้ม ต้นหม่อนเป็นพื้น เรือนเหล่านี้เสาไม้ เต็ง รัง ไม้ไผ่สับเป็นฟาก ฝากรุใบปรือ หลังคามุงหญ้าแฝก ราษฏรประกอบการเพาะปลูกทอหูก ปั่นฝ้าย ทำไหมขายรับพระราชทาน........จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่าจังหวัดบุรีรัมย์ในอดีตมีการทอผ้าไหมโดยทั่วไป
ปัจจุบันการทอผ้าไหมมีอยู่ทั่วไปทุกอำเภอแต่แหล่งทอผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดคือที่อำเภอนาโพธิ์ โดยเฉพาะที่บ้านโคกกุง มีศูนย์พัฒนาผ้าไหมและกลุ่มแม่บ้านเลี้ยงไหมนอกจากนี้ยังมีที่บ้านมะเฟือง อำเภอพุทไธสง ซึ่งทอผ้าไหมด้วยกี่ธรรมดาหรือกี่ชาวบ้าน การทอผ้าไหมที่อำเภอพุทไธสงและอำเภอนาโพธิ์ จะมีการทอผ้ามัดหมี่ลายพื้นเมืองดั้งเดิมและแบบลายประยุกต์ โดยเฉพาะผ้ามัดหมี่ตีนแดง ซึ่งเป็นผ้าไหมมัดหมี่ทอหัวซิ่นเป็นพื้นสีแดงไม่มีลวดลายส่วนลายตัวซิ่นนิยมใช้ลายฟันเลื่อย ลายนาค เป็นต้น
บุรีรัมย์เป็นจังหวัดในภาคอีสานที่มีชื่อเสียงในด้านการทอผ้าไหมมาเป็นเวลาช้านานแล้ว มีการทอทั่วทุกอำเภอ แหล่งทอผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดของจังหวัดบุรีรัมย์อยู่ที่อำเภอพุทไธสง และอำเภอนาโพธิ์ โดยเฉพาะที่อำเภอนาโพธิ์จะได้รับการสนับสนุนจากโครงการศิลปาชีพพิเศษ ด้านการออกแบบลวดลาย และการจัดจำหน่ายผ้าไหมของอำเภอพุทไธสง และอำเภอนาโพธิ์ มักได้รับรางวัลจากการประกวดในที่ต่างๆ เป็นประจำ
#ผ้าไหมอำเภอนาโพธิ์ .....•
ผ้าไหมที่อำเภอนาโพธิ์จะมีทั้งผ้าไหมพื้นไหมหางกระรอก ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า และผ้ามัดหมี่ การทอผ้ามัดหมี่จะมีลายพื้นเมืองดั้งเดิม และลายที่ประยุกต์ขึ้นใหม่ ลักษณะเด่นของผ้าไหมบุรีรัมย์ คือเนื้อจะแน่น เส้นไหมละเอียด ถ้าเป็นผ้าไหมมัดหมี่ที่เป็นแบบพื้นเมืองดั้งเดิมจะนิยมใช้สีขรึมๆ ไม่ฉูดฉาด
จากการเล่าสืบกันมา ความแร้นแค้นเริ่มหมดไปเมื่อปี 2516 ความอัตคัด-ขัดสน ถึงพระเนตรพระกรรณ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ผ่านท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ (ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว) กองเลขานุการในพระองค์ และท่านผู้หญิงจรุงจิต ทีขะระ นางสนองพระโอษฐ์ และราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทำให้ผ้าไหมชาวบ้านนาโพธิ์ ได้ถูกส่งเข้าโครงการส่งเสริมศิลปาชีพ
ศูนย์หัตกรรมพื้นบ้านนาโพธิ์ ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2542 จากการรวบรวมชาวบ้านที่มีฝีมือการทอผ้าไหมที่สวยงาม ชนะการประกวดผ้าไหมในระดับภาคและระดับประเทศ ภายใต้การสนับสนุนจากโครงการส่งเสริมอาชีพตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อสืบสานงานทอผ้าไหมไทย สนองแนวพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
ป้าประคองเล่าว่า ในปี 2544 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินมายัง บ้านนาโพธิ์ และมีพระมหากรุณาธิคุณ ให้ผ้าไหมนาโพธิ์โดดเด่นมากยิ่งขึ้น
“สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ท่านช่วยเราและชาวบ้าน นอกจากส่งผ้าที่ศูนย์ศิลปาชีพแล้ว เราได้ส่งผ้าไปขายที่ร้านภูฟ้าด้วย เรารู้ดีว่างานที่ส่งให้ร้านภูฟ้า ต้องเป็นงานที่เนี๊ยบ เราจึงปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้น โดยผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนราชการต่างๆ ก็เข้ามาช่วยเรื่องสีธรรมชาติและเรื่องอื่นๆ” ป้าประคองเล่าอย่างปลื้มใจ
ป้าประคองบอกแทนชาวบ้านนาโพธิ์ ว่า “ทำผ้าไหม ไม่รวย แต่ไม่มีหนี้ คนที่ทอผ้า จะมีรายได้ราว 3,000-5,000 บาท ต่อเดือน”
ทุกวันนี้ ผ้าไหมบ้านนาโพธิ์ ซึ่งมีสมาชิกว่าพันราย มีแหล่งขายทั้งที่สวนจตุจักร มูลนิธิศิลปาชีพ ร้านภูฟ้า ร้าน OTOP ในพื้นที่ราชการ มีทั้งผ้าพันคอ ผ้าสไบ เสื้อ และผ้าผืน จึงทำให้ผ้าไหมของที่นี่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ผ่านการขายบนเครื่องบิน สายการบินไทย
ผ้าบ้านนาโพธิ์ มีจุดเด่นที่มาจากการทอมือ เนื้อแน่น เส้นใหญ่ ไม่มันวาว เส้นไหมละเอียด แม้ว่าเนื้อผ้าจะแน่น แต่เบาโปร่งสบาย มีทั้งลายพื้นเมืองดั้งเดิม เช่น ลายพญานาค ลายช่องพลู ลายบันไดสวรรค์ และลวดลายสมัยใหม่ที่ประยุกต์ให้มีความร่วมสมัย
ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม คือ ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ที่มีลายไม่เหมือนกันในแต่ละผืน เป็นลายที่มีผืนเดียวในโลก นอกจากนี้ยังมีผ้าไหมมัดหมี่ด้วย
#การเดินทาง
หมู่บ้านทอผ้าไหมอำเภอนาโพธิ์ อยู่ในบริเวณตลาด อ.นาโพธิ์ ในซอยหลังศูนย์สงเคราะห์ราษฎรบ้านนาโพธิ์
ศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านอำเภอนาโพธิ์
9 หมู่ 13 บ้านนาโพธิ์ ตำบลนาโพธิ์ อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ 31230
ติดต่อ : นางประคอง ภาสะฐิต
โทร : 044 686157,686056, 01 9673849
#ผ้าซิ่นตีนแดง
ผ้าซิ่นตีนแดง หรือที่เรียกกันว่า “หมี่รวด” จะเป็นผ้าพื้นที่ย้อมสีแดงในส่วนของหัวซิ่นและตีนซิ่น ตัวซิ่นจะเป็นสีดำลวดลายมัดหมี่ที่มีสีแดง สีเหลือง สีน้ำตาล มีสีเขียวปนบ้างเล็กน้อย ลวดลายที่ใช้ในการทอตัวซิ่นจะเป็นลายแข่วเลื่อย ลายนาค ลายขอแบบต่าง ๆ นิยมทอเป็นไหมลีบ (เส้นไหมจากเปลือกนอกของรังไหม) เพราะมีเส้นขนาดใหญ่ ทอเสร็จเร็ว เห็นลวดลายชัดเจน ลักษณะพิเศษของผ้าซิ่นหัวแดงตีนแดงจะมีการจกสีไหมเหมือนผ้าแพรวาเพิ่มเติมของส่วนตีนซิ่นสีแดง นิยมใช้ลายเก็บตีนดาว ผ้าซิ่นตีนแดง เป็นการค้นคิดของบรรพบุรุษของชาวอำเภอพุทไธสง นับเป็นมรดกตกทอดของชาวอำเภอพุทไธสงโดยแท้
#เอกลักษณ์ของซิ่นตีนแดง
ซิ่นตีนแดงแตกต่างจากซิ่นอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง คือ หัวซิ่นและตีนซิ่นเป็นสีแดง ตัวซิ่นเป็นสีดำ หมัดหมี่สีเหลือง แดง ขาว มีเขียวปนบ้าง เครือซิ่นด้านหัวและด้านตีนกว้างประมาณ 8 หลบ (1 หลบ เท่ากับ 40 เส้น) ลายที่ใช้เป็นลายเก่าดั้งเดิม คือ ลายนาค ลายแข่วเลื่อย ลายขอต่าง ๆ นิยมทำด้วยไหมลีบ (ไหมเปลือกนอก) เพราะเส้นใหญ่ขึ้นลายได้สวยชัดเจน ทอเสร็จเร็ว ที่สำคัญ “เก็บตีนดาว” เพื่อประดิษฐ์ตกแต่งและแสดงฝีมือของผู้ผลิต
#ประเภทของผ้าซิ่นตีนแดง
ซิ่นตีนแดงทอออกมา 2 ประเภท โดยใช้ตีนซิ่น ( เชิง ) เป็นตัวแยกประเภท ดังนี้
– ซิ่นตีนแดงธรรมดา คือ ซิ่นตีนแดงที่ตกแต่งตีนซิ่นเป็นลายมัดหมี่ลายต่าง ๆ เช่น ตีนโยง ตีนต้น ตีนม้า หรือลายอื่น ๆ
– ซิ่นตีนแดงที่เก็บตีนดาว ( จกสีไหมเหมือนผ้าแพรวา ) คือ ซิ่นตีนแดงที่นอกจากจะตกแต่งลายที่ตีนซิ่นเป็นลายมัดหมี่แบบต่าง ๆ แล้ว ยังมีการใช้ไหมสีขาว สีเหลือง และสีเขียวตกแต่งเป็นลายประดับที่ตีนซิ่น เช่น ลายพั่วดอกฮั่ง (พวงดอกรัง ) หรือลายเอี้ยต่าง ๆ
#เอกลักษณะของผ้าซิ่นตีนแดง
ผ้าซิ่นตีนแดงเป็นผ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทอด้วยไหมทั้งผืนหัวซิ่นและตีนซิ่นของผ้าจะเป็นสีแดงสด ตอนกลางของผ้าจะเป็นลายมัดหมี่ เรียกว่าหมี่ขอ จะเป็นสีดำ สีน้ำตาลเหลือบทอง จะทอเป็นผืนเดียวกัน ไม่ใช้การตัดต่อระหว่างตัวซิ่น หัวซิ่นและตีนซิ่น สมัยโบราณจะทอให้เด็กและวัยรุ่นนุ่ง เพราะเป็นผ้าที่มีสีสดใสมาก โดยใช้ฟืมซาว (ฟืม 20) จะเป็นผืนเล็ก ๆ เหมาะสำหรับเด็ก ต่อมาได้ปรับปรุงการทอให้เป็นผ้าผืนใหญ่ กว้างและยาวขึ้น จึงใช้ฟืม 40 ในการทอ การทำซิ่นตีนแดงมีความยุ่งยากกว่ามัดหมี่ชนิดอื่น จึงไม่ค่อยนิยมทำกันและเกือบจะสูญหายไป แต่ได้มีการนำซิ่นชนิดนี้ ไปแสดงในงานนิทรรศการสมบัติอีสานใต้ ครั้งที่ 2 และทางมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ได้นำซิ่นชนิดนี้ไปใช้สำหรับนักแสดงนาฏศิลป์ เพื่อประชาสัมพันธ์ทั้งในจังหวัดต่างจังหวัด และต่างประเทศ เช่น ชุดการแสดง “ระบำเทพอัปสร” และได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผ้าซิ่นตีนแดงลงในหนังสือหลายเล่ม เช่น อนุสรณ์ 200 ปีเมืองพุทไธสง, สมบัติอีสานใต้ 6, หนังสือพิมพ์สื่อสารธุรกิจ และหนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์ และภูมิปัญญาไทย จ.บุรีรัมย์ นอกจากนั้นมีการร่วมรณรงค์ให้หันมาผลิตและใช้แต่งกายในงานประเพณีสำคัญ เช่น บุญบั้งไฟ งานสงกรานต์
ลอยกระทงและกิจกรรมต่าง ๆ ของนักเรียน ซิ่นตีนแดงจึงกลับเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมของบุคคลทั่วไป กลายเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชาวพุทไธสงและนาโพธิ์ ทุกครัวเรือนจะต้องมีไว้ประจำบ้าน จึงทำให้ซิ่นตีนแดงกลับมาเป็นที่นิยมและสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างงดงาม และในปี พ.ศ. 2546 ผ้าซิ่นตีนแดงได้กลายเป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำ จ. บุรีรัมย์
ปัจจุบันการทอผ้าไหมมีอยู่ทั่วไปทุกอำเภอ แต่แหล่งทอผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด คือ ที่ อ. นาโพธิ์ โดยเฉพาะที่บ้านโคกกุง มีศูนย์พัฒนาผ้าไหมและกลุ่มแม่บ้านเลี้ยงไหมนอกจากนี้ยังมีที่บ้านมะเฟือง อ. พุทไธสง ซึ่งทอผ้าไหมด้วยกี่ธรรมดาหรือกี่ชาวบ้าน การทอผ้าไหมที่ อ. พุทไธสง และ อ.นาโพธิ์ จะมีการทอผ้ามัดหมี่ลายพื้นเมืองดั้งเดิมและแบบลายประยุกต์ โดยเฉพาะผ้ามัดหมี่ตีนแดง ซึ่งเป็นผ้าไหมมัดหมี่ทอหัวซิ่นเป็นพื้นสีแดงไม่มีลวดลายส่วนลายตัวซิ่นนิยมใช้ลายฟันเลื่อย ลายนาค เป็นต้น
#ประวัติผ้าซิ่นตีนแดง
“ซิ่นหัวแดงตีนแดง” หรือ “ซิ่นตีนแดง” หรือ “ซิ่นหมี่รวด” ได้ทอขึ้นครั้งแรกโดยช่างฝีมือทอผ้าในคุ้มของพระยาเสนาสงคราม (เจ้าเมืองคนแรกของอำเภอพุทไธสง) แถวบ้านหนองหัวแฮดและในบ้านโนนหมากเฟือง เมืองพุทไธสง เมื่อประมาณ 200 ปีมาแล้ว (ปัจจุบัน คือ บ้านศรีษะแรตและบ้านมะเฟือง ในปัจจุบัน) เป็นผ้าซิ่นที่กลุ่มคนเชื้อสายลาวเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ผ้าซิ่นตีนแดงจึงเป็นผ้าซิ่นลาว (เคยมีการสันนิษฐานว่าเป็นผ้าซิ่นเขมร) จากหลักฐานตำนานพระเจ้าใหญ่และการก่อตั้งหมู่บ้านศีรษะแรตว่า “ในสมัยก่อน ท้าวศรีปาก ( นา ) ท้าวเหลือสะท้าน ท้าวไกรสร เสนาบดีเมืองสุวรรณภูมิ (ปัจจุบันอยู่ในเขต จ. มหาสารคาม) ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายลาว พร้อมด้วยบริวาร ชอบเข้ามาล่าสัตว์ในเขตลุ่มน้ำลำพงชู ตลอดไปจนถึงลุ่มน้ำชี (ในเขต จ. ชัยภูมิ) กล่าวกันว่า การล่าแรดเพื่อนำนอมาทำยานั้น ถ้าพบแรดในเขตพุทไธสงจะไล่ล่าได้ในเขตชัยภูมิ และถ้าพบในเขตชัยภูมิจะไล่ล่าได้ในเขตพุทไธสง ครั้งหนึ่งทั้งสามได้ยิงได้นกขนาดใหญ่สวยงามมากตัวหนึ่งที่บริเวณบึงสระบัว เรียกกันว่า “นกหงส์” นกตัวนั้นบินมาตกบริเวณป่ารกด้านทิศตะวันออก จึงออกตามหานกตัวนั้นในป่าดังกล่าว แต่กลับพบพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ไม่เคยพบที่ใดมาก่อน ด้วยความดีใจจึงเลิกค้นหานกและพากันสำรวจบริเวณรอบ ๆ องค์พระ พบเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมด้านหลังพระพุทธรูป พบหนองน้ำขนาดย่อมด้านหน้าองค์พระ มีหัวแรดตายมานานแล้วอยู่ในหนองน้ำนั้น มีต้นตาลเรียงรายอยู่รอบ ๆ ทั้งสี่ทิศ มีเถาวัลย์คลุมรุงรัง ไม่มีหมู่บ้านคนในบริเวณนั้น จึงกลับไปบ้านเกิดและชักชวนญาติพี่น้องมาตั้งรกรากที่นี่แล้วตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “หนองหัวแฮด” ตามหัวแรดที่พบ โดยมีท้าวศรีปาก ( นา ) เป็นเจ้าเมือง เรียกว่า “อุปฮาดราชวงศ์” และได้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์บริเวณที่ได้พบพระพุทธรูปอยู่เป็นวัด ชื่อว่า “วัดหงส์” ตามชื่อนกที่ยิงแล้วมาตกบริเวณนั้นองค์พระเจ้าใหญ่ สันนิฐานว่าสร้างพร้อมกับเมืองพุทไธสง คือ ประมาณ พ.ศ. 2200 ช่างที่สร้างพระเจ้าใหญ่อาจเป็นช่างสกุลลาว เพราะพระพุทธรูปหลายองค์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชอัญเชิญมามีพระเกศเหมือนพระเจ้าใหญ่ เช่น ที่วัดสระปทุม พระเกศลักษณะนี้มีเฉพาะในภาคอีสานและประเทศลาวเท่านั้น” จากหลักฐานดังกล่าวจึงน่าจะเชื่อได้ว่า ผ้าซิ่นตีนแดงนั้นเป็นผ้าซิ่นของกลุ่มชนลาวไม่ใช่เขมร ต่อมาได้แพร่ขยายการทอผ้าซิ่นตีนแดงจากบ้านศีรษะแรตและบ้านมะเฟืองไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง คือ บ้านจาน บ้านแวง และบ้านนาโพธิ์ (ปัจจุบันเป็น อ. นาโพธิ์ แยกออกจาก อ. พุทไธสง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2531) ซิ่นตีนแดง หรือ ซิ่นหมี่รวด เป็นผ้าเอกลักษณ์ท้องถิ่นของชาว อ. พุทไธสง และ อ.นาโพธิ์ ไม่มีในท้องถิ่นอื่น
#สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : ศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านนาโพธิ์
ที่ตั้ง: ภายในที่ว่าการอำเภอนาโพธิ์ ม. 13 ต. นาโพธิ์ อ. นาโพธิ์ จ. บุรีรัมย์ 31230
โทรศัพท์: 08 1977 2419 คุณชุติกาญจน์ บุญงาม
สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ถนนนิวาศ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ 31000
โทร/โทรสาร 044-620171 E-mail : [email protected]
#ผ้าไหมบ้านสนวนนอก อำเภอห้วยราช....•
หมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ เดิมพื้นที่บริเวณหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นผืนป่าทึบที่มีต้นสนวนขึ้นอยู่จึงได้ชื่อว่าบ้านสนวน บ้านสนวนนอกเป็นชุมชนโบราณที่ยังคงดำรงวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ใช้ภาษาพื้นถิ่นเขมร และสืบสานการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ้าไหมลายดั้งเดิมที่ตกทอดกันมาแต่โบราณ คือ ผ้าไหมหางกระรอกซึ่งถือเป็นลายเอกลักษณ์ของผ้าไหมบ้านสนวนนอก
วิถีชีวิตผลิตไหมของชาวสนวนนอก เริ่มตั้งแต่การปลูกหม่อน เก็บใบหม่อนไปเลี้ยงไหม การเลี้ยงไหมสาวไหม ไปจนถึงการฟอก ย้อม มัดหมี่ ทอผ้า และแปรรูป ซึ่งหากนักท่องเที่ยวสนใจต้องการศึกษาเรียนรู้อย่างละเอียด ทางชุมชนก็มีมัคคุเทศก์ของหมู่บ้านพาชมทุกชั้นตอนของทุกกระบวนการ นับแต่ปลูกชำต้นหม่อน เก็บใบหม่อน การเลี้ยงไหม ให้อาหารตัวไหม สาวไหมจากดักแด้ ฟอกกาวไหมออกจากเส้นไหม การเตรียมเส้นไหมเพื่อมัดหมี่การย้อมสีธรรมชาติ เรียนรู้การมัดหมี่ การทอผ้าไหม กระทั่งถึงการสร้างสรรค์ ลวดลายต่างๆ บนผืนผ้าไหม
การเดินทาง : รถยนต์จากตัวเมืองบุรีรัมย์ใช้เส้นทางถนนหลวงสายห้วยราช – กระสัง มุ่งสู่อำเภอห้วยราช ประมาณ 12 กิโลเมตร บ้านสนวนนอก อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอห้วยราช ประมาณ 2 กิโลเมตร
#ผ้าหางกระรอก บ้านสนวนนอก จ. บุรีรัมย์
ผ้าหางกระรอก มีประวัติความเป็นมาเริ่มจากคนโบราณรู้จักการเลี้ยงไหมและการทอผ้า จนต่อมาได้พัฒนาเทคนิคการทอต่าง ๆ เช่น การควบเส้น (การนำไหม 2 สี มาสาวรวมกันเป็นเส้นเดียว) ต่อมาชุมชนบ้านสนวนนอก ซึ่งสมัยนั้นมีต้นสนวนขึ้นเยอะมาก มักเป็นที่อาศัยของกระรอก และด้วยนิสัยความช่างสังเกตของคนโบราณ สังเกตเห็นว่า ลายของหางกระรอกนั้นคล้ายกับไหมที่ถูกควบเส้นแล้ว จึงเป็นที่มาของชื่อ “ผ้าหางกระรอก” นับตั้งแต่บัดนั้น
#ลักษณะของผ้าหางกระรอก
ผ้าหางกระรอก เป็นชื่อเรียกผ้าชนิดหนึ่งที่มีลักษณะของลวดลายเนื้อผ้าเหลือบสีเห็นเป็นลายเส้นเล็ก ๆ ในตัวมองดูคล้ายกับขนของหางกระรอก แลดูสวยงาม แปลกตา ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้เทคนิคการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าไท คือ การควบเส้น ตามความเชื่อในเรื่องของความกลมเกลียวสามัคคีกันในครอบครัวและสายตระกูลที่นับถือผีด้วยกัน การนำไหมสองสีมาควบกันนี้เรียกว่า “ผ้าหางกระรอก” หรือ ““กะนีว” ซึ่งวิธีการทอแบบนี้มักพบแต่ในแถบอีสานใต้ และนิยมใช้เพียงสีเขียวควบเหลือง หรือแดงควบเหลือง
ข้อดีของผ้าหางกระรอก เมื่อนำ ผ้าหางกระรอก มาใช้เป็นเส้นพุ่งทอกับเส้นยืน สีพื้นที่ต่างกันจะทำให้เกิดลวดลายเหลื่อมกัน ให้ความสวยงามที่ได้จากคู่สีที่ตัดกัน ลักษณะของผ้าหางกระรอกนี้ ผิวสัมผัสจะมีความมันระยิบระยับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ถ้านำไปส่องกับแดดจะยิ่งเห็นความเงางามมากขึ้น และสมารถแยกสีได้อย่างชัดเจน ส่วนเนื้อผ้าที่ได้จะมีความแน่นเกิดจากไหมที่เป็นเส้นคู่
เหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย ดู ๆ ไปแล้ว ผ้าหางกระรอกก็คือ การใช้ไหม 2 เส้น 2 สี มาสาวรวมกัน แต่ถ้าได้ลองทำจริง ๆ จะรู้เลยว่าไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะผ้าหางกระรอกที่สวยงามต้องใช้คนสาวไหมที่มีความชำนาญ จนสามารถกำหนดว่าอยากจะได้เกลียวถี่หรือเกลียวห่างตามต้องการ เพราะหากทำไม่ดีก็จะขึ้นลายไม่เท่ากัน ดังนั้นทั้งเส้นจะต้องมีความสม่ำเสมอตลอด ไม่เช่นนั้นเวลานำไปทอจะขึ้นลายสลับไปมาไม่เกิดความสวยงาม และเวลานำไปทอก็ต้องเลือกหลอดให้ดี สีต้องสม่ำเสมอเท่ากันทุกหลอด ไม่เป็นขุยเป็นก้อนการประยุกต์ผ้าหางกระรอก
#สอบถามรายละเอียดได้ที่ ที่ตั้ง : บ้านสนวนนอก ม. 2 ต. สนวน อ. ห้วยราช จ. บุรีรัมย์
ผู้ใหญ่บ้านบุญทิพย์ โทร. 08 5411 4435 หรือ คุณสำเริง โทร. 08 0472 4435
และสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชื่อมโยงใน จ. บุรีรัมย์ ได้ที่ ททท. สำนักงานบุรีรัมย์ (ดูแลบุรีรัมย์) โทร. 04 4634 4722-3
#ผ้าภูอัคนี หรือ ผ้าย้อมดินภูเขาไฟ #บ้านเจริญสุข......•
ผ้าภูอัคนี หรือ ผ้าย้อมดินภูเขาไฟ เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านหมู่บ้านเจริญสุข ที่ได้นำผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมไปย้อมกับดินภูเขาไฟ วัตถุดิบจากธรรมชาติที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ในการย้อมสีผ้าให้ออกมามีสีสวยงามอย่างมีเอกลักษณ์ เพราะหมู่บ้านเจริญสุขนั้นตั้งอยู่ใกล้กับ “เขาพระอังคาร” ซึ่งเป็นภูเขาไฟเก่าแก่ที่ดับแล้ว 1 ใน 6 ลูก ของ จ. บุรีรัมย์ ดินบริเวณนี้เป็นดินที่อุดมด้วยแร่ธาตุจากลาวาภูเขาไฟที่ปะทุออกมาในอดีต ซึ่งนอกจากเป็นประโยชน์ในการเพาะปลูกแล้ว ชาวบ้านเจริญสุขยังคิดค้นวิธีการนำดินเหล่านี้มาใช้ย้อมผ้าอีกด้วย
ขั้นตอนการผลิต สมาชิกกลุ่มทอผ้าฝ้ายผ้าไหม หมู่บ้านเจริญสุข ได้อธิบายให้ฟังว่า “ขั้นตอนการย้อมนั้นไม่ยากอะไรเลย เริ่มต้นจากการนำดินภูเขาไฟใกล้ ๆ กับเขาพระอังคารมาคัดเศษผงที่เจือปนออก หลักจากนั้นก็นำไปผสมกับน้ำในอัตราส่วน ดินภูเขาไฟ 3 กิโลกรัม ต่อ น้ำเปล่า 10 ลิตร ก็จะได้น้ำดินภูเขาไฟที่มีสีน้ำตาล สำหรับขั้นตอนนี้ หากอยากได้ผ้าสีเข้มก็ผสมน้ำให้น้อยลง หากอยากได้สีอ่อนก็ผสมน้ำให้มากขึ้น”
ขั้นตอนต่อไป คือ ขั้นตอนการย้อมสีผ้า โดยจะนำผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมที่ต้องการย้อมสี ซึ่งจะใช้ผ้าน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ในการย้อมแต่ละครั้ง ลงไปแช่ในน้ำดินภูเขาไฟที่เตรียมไว้ โดยจะใช้เวลาในการแช่ผ้าทิ้งไว้ประมาณ 8-10 ชั่วโมง ก็จะได้ผ้าสีน้ำตาลเย็นตา สีสันสวยงามตามที่ต้องการ หลักจากนั้นก็จะนำผ้าที่ได้ไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปตากที่ราวและยืดให้ตรง
นอกจากนี้ หมู่บ้านเจริญสุขแห่งนี้ยังมีภูมิปัญญาที่จะรักษาสีผ้าให้คงทนด้วยเช่นกัน นั้น คือ การนำผ้าที่ได้จากการย้อมดินภูเขาไฟไปต้มกับ “น้ำเปลือกต้นประดู่” ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาชาวบ้านในการนำวัตถุดิบที่หาได้จากท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยนำเปลือกต้นประดู่มาต้มในน้ำ ซึ่งน้ำต้มจะต้องร้อน แต่ไม่ให้เดือดจนเกินไป หลังจากนั้นนำผ้าที่ผ่านการย้อมดินภูเขาไฟลงไปแช่ประมาณครึ่งชั่วโมง ขั้นตอนนี้จะเป็นการป้องกันการตกสี และในน้ำเปลือกต้นประดู่ ยังมียางแ ละสีที่คล้ายกับสีดินภูเขาไฟ จึงเป็นการเคลือบสีไปในตัว ผ้าที่ได้ จึงเงางามยิ่งขึ้นและไม่ตกสี
การทำผ้าภูอัคนี นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่ามหัศจรรย์ ที่นำดินธรรมดา ๆ มาสร้างสรรค์ให้กลายมาเป็นสีสันที่งดงามมีเอกลักษณ์ จนเป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจของ จ. บุรีรัมย์ และยังได้ผ่านการรับรองจากกระทรวงอุตสาหกรรมว่า มีแห่งเดียวในจังหวัดบุรีรัมย์ และได้รับเลือกให้เป็นหมู่บ้าน OVC หรือ OTOP Village Champion ที่ได้รับการสนับสนุนจาก กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย อีกด้วย
โดยทางกลุ่มสตรีทอผ้าไหม-ผ้าฝ้าย ในหมู่บ้านเจริญสุขได้มีการพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับนำไปใช้และเป็นของฝาก และยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเยี่ยมชม ในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชุมชน เพื่อทำความรู้จักกับกระบวนการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เด่นประจำท้องถิ่นในทุกขั้นตอน เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย ที่ควรค่าแก่การรักษาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน
แหล่งผลิต: กลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าฝ้าย – ไหม (ภูอัคนี)
ที่ตั้ง: 143 หมู่ 12 ต.เจริญสุข อ. เฉลิมพระเกียรติ จ. บุรีรัมย์ 31110
เวลาเปิด-ปิด: 09.00-17:00 น. ทุกวัน
โทรศัพท์: 09 7007 4244
สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ถนนนิวาศ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ 31000
โทร/โทรสาร 044-620171 E-mail : [email protected]
#กลุ่มทอผ้าสมาชิกโครงการส่งเสริมศิลปาชีพอำเภอกระสัง
บ้านเลขที่ 153 หมู่ที่ 11 บ้านหนองพลวง ตำบลลำดวน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ 31160
ติดต่อ : นางสุกัญญา ชาตาสุ โทร : 08-7927-2534
#สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
• ททท. สำนักงานบุรีรัมย์ โทร. 0 4463 4722-3
• สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดบุรีรัมย์ 044-666531
• สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ 044-666528
หรือ #สำนักงานจังหวัดบุรีรัมย์.....:
ที่อยู่ : ศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ 1159 เขากระโดง ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ 31000 โทรศัพท์: 044 666 563 โทรสาร : 044 666 563
#บุรีรัมย์ #เมืองกีฬา #เมืองน่าเที่ยว #เที่ยวบุรีรัมย์
ขอบคุณข้อมูล : จากทุกแหล่งที่มา & ไทยเท่