เว็บไซต์คืออะไร?

https://www.facebook.com/114425190288425/

Dragon_KP

บริการทุกระดับ ประทับในดวงใจทุกท่?

10/06/2020

10/06/2020

UPDATE: เตรียมทดลองยกเลิกเคอร์ฟิว 15 วัน แต่ยังคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และให้ผ่อนคลาย 12 กิจกรรม
วันนี้ (10 มิถุนายน) พล.อ. สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เปิดเผยว่าการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการลดการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในวันนี้จะนำทั้ง 12 กิจการ-กิจกรรมซึ่งอยู่ในโซนสีแดง นำเข้าสู่การพิจารณาคลายล็อกระยะที่ 4 ซึ่งทุกกิจการ-กิจกรรม เช่น สนามมวย สถานบันเทิง ต่างมีความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะได้รับการผ่อนคลาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทุกกิจการ-กิจกรรม ขณะเดียวกันจะนำทุกข้อเสนอของทุกกิจการ-กิจกรรมมาพิจารณาผ่อนคลายด้วย ซึ่งวันนี้หากพิจารณาเสร็จสิ้นก็จะนำเข้าสู่การประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่เพื่อหารือพิจารณาด้วยเช่นกัน
ส่วนการเปิดสนามบินจะพิจารณาภายหลังเช่นเดียวการคงอยู่หรือต่ออายุพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะมีการหารือกันในสัปดาห์ถัดไป
ขณะที่ พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยว่าที่ประชุมกำลังปรึกษาถึงเรื่องการผ่อนคลายให้สามารถเปิดสนามมวยได้ ซึ่งอาจไม่ใช่การเปิดแบบปกติ พิจารณา 2 กรณีคือ ไม่เปิด หรือเปิดแบบไม่ให้มีผู้เข้าชมที่มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากเข้าใจนักมวยที่ขาดรายได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมจะพิจารณา
ทั้งนี้ ที่ประชุมจะมีการเสนอให้พิจารณาทดลองยกเลิกการกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน เวลา 23.00-03.00 น. (เคอร์ฟิว) 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 15-30 มิถุนายนนี้ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตตามปกติง่ายขึ้น แต่ให้คง พ.ร.ก. ฉุกเฉินไว้ เนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นต่อภาครัฐและหน่วยงานทุกภาคส่วน รวมทั้งเพื่อให้สามารถบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ เพราะบางมาตรการไม่สามารถใช้ในกฎหมายปกติ
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/coronavirus-coverage/
#ยกเลิกเคอร์ฟิว #พรกฉุกเฉิน #ฝ่าวิกฤตโควิด19 #โควิด19

09/06/2020

"การใช้คนเป็น" คือปัญญาของผู้บริหาร
แต่ "การเข้าใจคน" คืนพื้นฐานที่สำคัญยิ่งกว่า
นี่คือจริยะธรรมและคุณธรรมที่ผู้บริหารควรมี

-จักรพรรดิเฉียนหลง-

07/06/2020

เพราะผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคือเมนูที่ทำทานที่บ้านได้ง่าย และ Nissin เตรียมออกบะหม.....

07/06/2020

การดูหนังในโรงภาพยนตร์กลายเป็นความกังวลในยุคนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า โรงภาพยนตร์อาจไม่ได้อันตรายอย่า....

06/06/2020

04/06/2020

อากาศมันร้อน หาน้ำเย็นๆกินคงดีนะ😊

04/06/2020

4 มิถุนายน 1989
กองทัพจีนสลายการชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
เหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง วันที่กองทัพจีนส่งทหารและรถถังปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาล มีประชาชนและนักศึกษาเสียชีวิตหลายพันคน โดยในปีนี้ (4 มิถุนายน 2020) ถือเป็นวันครบรอบ 31 ปี เหตุการณ์ดังกล่าว
สำหรับเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เริ่มขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ.1989 (พ.ศ.2532) เมื่อผู้ชุมนุมฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยทั้งนักศึกษา และแรงงานมากกว่าหนึ่งล้านคน ออกมารวมตัวกันเรียกร้องให้เพิ่มเสรีภาพและประชาธิปไตย ยุติการปกครองแบบเผด็จการ นับเป็นเหตุชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน กินระยะเวลายาวนานถึง 6 สัปดาห์
กระทั่งคืนวันที่ 3 มิถุนายนปีเดียวกัน กองทัพจีนส่งกำลังทหารและรถถังหลายคันไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน และเปิดฉากยิงปืนใส่ผู้ชุมนุม ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่จีนอ้างว่า ไม่มีใครถูกยิงตายที่จัตุรัสแห่งนี้แม้แต่คนเดียว พวกเขายังไม่เปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ
แม้กระทั่งปัจจุบันทางการจีนก็ยังไม่เคยยอมรับความผิดในเรื่องนี้ โดยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2562 เว่ย เฟิ่งเหอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศจีน กล่าวในการร่วมงานประชุมระดับภูมิภาคที่ประเทศสิงคโปร์ ถึงเหตุการณ์การปราบปรามผู้ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินว่า ทำไมยังมีคนพูดว่าจีนรับมือเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างไม่เหมาะสมอีก เหตุการณ์นั้นคือความวุ่นวายทางการเมือง และรัฐบาลกลางก็ใช้มาตรการต่างๆ ในการหยุดความวุ่นวายนั้น ซึ่งเป็นนโยบายที่ถูกต้องแล้ว
#จัตุรัสเทียนอันเหมิน

03/06/2020

"ถ้าเราไม่อดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เราจะสูญเสียในทุกสิ่ง"

ผู้ชนะ คือ คนที่เก่งที่สุดงั้นหรอ ?

ไม่!! แต่คนชนะคือคนที่ยอดเยียมที่สุด หากเทียบสติปัญญา สุมาอี้ ยอมรับว่า มิอาจจะต่อกรกับ ขงเบ้ง ได้ หากออกไปรบมีแต่จะเสียหัวตัวเองให้แก่ขงเบ้ง แต่ทำไมสุดท้าย ขงเบ้ง จึงต้องถอยไปเสียทุกครั้งในเพราะ สุมาอี้ไม่ยอมรบ

สุมาอี้ ยอมรับว่า สติปัญญาตนอาจด้อยกว่าขงเบ้ง หากออกไปสู้โอกาสพ่ายแพ้อย่างที่เคยออกไปนั้นสูง

แต่สุมาอี้มีมีข้อได้เปรียบ นั้นคือ ตนไม่ใช่ฝ่ายที่จำเป็นต้องบุก กลับกัน ขงเบ้ง ต่างหากที่ เป็นฝ่ายอยากจะรุก (ก็แน่ละยกทัพมาแพ้ 5-6 ครั้ง จะบอกว่าอยากมาตั้งรับคงไม่ใช่) การตั้งรับอยู่ในเขตแดนของตนที่มีพร้อมทั้ง ทรัพยากร และ เสบี่ยงที่มีเก็บไว้ แตกต่างกับ ขงเบ้ง ที่ต้องแบกรับการขนส่งเสบียง ต้องการรุกไปข้างหน้าเพื่อแข่งกับเวลา

ข้อได้เปรียบนี้เพียงตั้งรับในที่ไปเหมาะสม สุดท้ายฝ่ายที่อยากจะรุกก็รุกไม่ได้ เพราะรุกเข้ามาย่อมพ่ายแพ้เพราะฝ่ายรับตั้งรับพร้อม มีแต่จำเป็นต้องถอยทัพเพียงเท่านั้น

สุดท้าย แม้คนทั้วแผ่นดินมองว่า ตนเอง(สุมาอี้) กลัวแล้วยังไง เพราะ หน้าที่ตนไม่ใช่ ทำให้ ขงเบ้งกลัว ไม่ใช่การไปยึดครองเสฉวน ไม่จำเป็นต้องรุก แต่เป็นการป้องกันการรุกรานของข้าศึกต่างหาก

ขงเบ้ง นั้นเองที่สุดท้ายต้องจนมุม จะรุกก็สูญเสีย จะถอยก็สูญเสีย จะต่างกันแค่มากน้อยเท่านั้น สุดท้ายการแบกรับภาระแบบที่เรียกว่า จะไปก็ไม่ได้ จะกลับก็ไม่ดี ก็ทำให้สภาวะทั้งร่างกาย และ จิตใจ อ่อนแอลง จนสุดท้ายเสียชีวิตจนปณิธานไปสิ้น

การอดทนต่อการยั่วยุ และ ดูถูกของ สุมาอี้ สอนให้เราได้รู้ว่า เป้าหมาย สำคัญมากกว่า อารมณ์ หากหลงไปกับ อารมณ์โกรธ ทิฐิ ว่าตนเก่งนั้น เท่ากับพาตนเองไปอยู่ในมุมอับโดยไม่จำเป็น

วันนี้ อดทน ไม่ได้ แล้ววันหน้าจะชนะได้เช่นไร ขันติ ก็เป็นอีกสิ่งที่สามารถเป็นหนทางเอาชนะช่องว่างของสติปัญญาได้ อนทนต่อการดูถูก การยอมรับว่าตนเองไม่ด้อยกว่า ขงเบ้ง ฟังมันช่างง่ายดาย เพียงแต่กระทำจริงมันช่างยากยิ่ง

คนเรามักยากจะยอมรับว่าตนเองมีศักยภาพเช่นไร ประเมินผู้อื่นยังไง

แต่หากจะเป็นผู้ครอบครองทุกสิ่งไม่ใช่ผู้ที่เก่งที่สุดแต่เป็นผู้ที่รู้ว่าตนเก่งแค่ไหนและควรใช้ยังไง

เราทุกคนก็เช่นกัน การรู้ถึงศักยภาพของตนเองและ รู้จักอดทนต่อบางสิ่ง นั้นต่างหากคือหนทางที่นำเราไปสู่เป้าหมาย สู้จงสู้ให้เป็น ไม่ใช่สู้จนตาย หัวมีไว้คิด ไม่ใช่มีไว้ให้รู้ว่ามี

ประวัติศาสตร์คือบทเรียนที่ศึกษาทั้งได้ดีด้านร้ายเอามาใช้เป็นเข็มทิศชี้นำชีวิต

เขียนและเรียบเรียงโดย DS DioSavant ชานนท์ ไชยกาล

03/06/2020

PHOTO JOURNAL: ‘UNITED POWER’
พอล พาเซน หัวหน้าตำรวจเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ร่วมคล้องแขนสร้างกำแพงมนุษย์ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการเหยียดสีผิวในสังคมอเมริกัน หลังจากการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชายผู้ตกเป็นเหยื่อของอคติทางสีผิว และการกระทำเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ - Michael Ciaglo / Getty Images
IG: www.instagram.com/thestandardth.ig